รีวิว Marriage Story - แมริเอจ สตอรี่
อีกหนึ่งหนังเต็งหวังชิงออสการ์จาก Netflix ต่อจากไอริชแมน ว่าด้วยเรื่องราวของการหย่าร้างที่เรียลสตอรี่มากๆ โดยมีจุดขายอยู่ที่ 2 ดารานำ สกาเล็ต โจแอนสัน กับ อดัม ไดรเวอร์ ซึ่งสองคนนี้คนดูคงรู้จักกันดี นี่จึงเป็นเหมือนหนังดูนำร่องในอีกบทบาทหนึ่งของการแสดงที่เรียกได้ว่าสุดยอดมากๆ รีวิว Marriage Story
เรื่องย่อ
ตลอดสิบปีของชีวิตคู่ที่ผ่านมา ทั้งสองอาศัยอยู่ด้วยกันที่นิวยอร์ก ทำงานในคณะละครเวทีด้วยกัน โดย Charlie เป็นผู้กำกับชื่อดัง และ Nicole ออกจากวงการการแสดงซีรีส์/ภาพยนตร์ มาเป็นนางเอกให้กับคณะละครเวทีของ Charlie แต่ทีนี้ ตอนนี้อะไร ๆ มันเปลี่ยนไป เมื่อ Charlie กำลังจะพาคณะไปถึงบรอดเวย์ แต่ Nicole กลับอยากกลับไปรับงานแสดงแบบเดิมที่แอลเอ
พวกเขาต้องแยกทางกัน Nicole พา Henry ลูกชายวัยแปดขวบ ย้ายไปอยู่แอลเอด้วยกัน โดยพักที่บ้านของคุณยาย Sandra แม่ของเธอ ซึ่ง Henry ก็ชอบแอลเอมาก เพราะเขามีพี่น้องเป็นเพื่อนเล่น ซึ่งก็คือลูก ๆ ของ Cassie พี่สาวของ Nicole เอง
วันนี้ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำ เราเลยเปิด Netflix หาอะไรดูฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ ในขณะไล่ลิสต์หนังที่ดองเค็มไว้ก็พลันสะดุดกับลิสต์หนังในแถวที่เพิ่งลงสตรีม จนได้เจอหนังชื่อแปลกอย่าง Marriage Story ของพี่ โนอาห์ บอมแบค แกจำหนังพี่เค้าได้ป่ะ พวก Margot at the Wedding (2007)
หรือ จะเป็น The Squid and the Whale (2005) ที่แกเคยด่าเราว่าหนังบ้าอะไรมีแต่คนคุยกัน แต่ที่แกไม่รู้คือหนังของเขาแม่งทำเราซึมทุกเรื่องเลยเว้ย คือมันอาจจะไม่ได้ซึ้ง ไม่ได้เศร้าแบบหนัง หรือซีรีส์เกาหลีที่แกดูนะ แต่หนังเขามันค่อย ๆ บ่อนเซาะหัวจิตหัวใจคนดู
ในสถานการณ์ธรรมดาพอมันมาเกิดขึ้นอีกครั้งตอนตัวเอกไม่เหลือใครแล้วแม่งโคตรเหงาเลย แล้วหนังพี่เค้ามักจะวนเวียนอยู่กับเรื่องหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยก อะไรเทือกนั้นอยู่เป็นประจำ แต่เอาล่ะวันนี้ฉันจะเล่าเกี่ยวกับหนังใหม่พี่เค้าให้ฟัง
ถึงแม้ว่าหน้าหนังดูหนังฟรี แมริเอจ สตอรี่ จะเป็นสายรางวัล รวมถึงภาพที่ออกมาดูอาร์ตๆ เหมือนหนังดูเข้าถึงยาก เนือยๆ อืดๆ อะไรแบบนั้น แต่บอกเลยว่าเนื้อในหนังเล่าเรื่องราวได้ลื่นไหลไม่น่าเบื่ออย่างหนังสายรางวัลอื่นๆ ทั่วไป แอบมีตลกปนอยู่นิดๆ ด้วย คืออาจจะมีฉากทิ้งช่วงนิ่งๆ อยู่บ้าง แต่ก็เพราะว่านี่เป็นหนังที่ “เรียลสตอรี่มากๆ” จากมุมหนึ่งของช่วงเวลาของความรักระหว่างการหย่าร้าง
หนังหยิบจับมุมที่เจ็บปวดของช่วงเวลานี้มาเล่นอย่างจริงจังในทุกแง่มุมของความสัมพันธ์ที่ง่อนแง่นเปราะบางนี้ โดยมีความรักเจือจางปนอยู่ พร้อมทั้งการทรยศนอกใจ มุมของการเข้าข้างตัวเองของทั้งสองฝั่ง รวมถึงลูกที่เป็นโซ่ทองคล้องใจ แม้แต่เมืองที่เลือกอยู่อาศัยก็กลายเป็นปัญหาใหญ่โตเกินกว่าที่คาดคิด
เนื้อเรื่อง
พลอตของ Marriage Story ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนไปกว่าเรื่องการหย่าร้างของ ชาร์ลี (อดัม ไดร์ฟเวอร์) ผู้กำกับละครเวทีจอมติสต์ เจ้าระเบียบ กับ นิโคล (สการ์เลตต์ โจแฮนสัน) นักแสดงสาวที่อยากกลับมาเป็นดาราในจออีกครั้ง หลังจากนางตามใจสามีด้วยการเล่นละครเวทีของเขามานาน
ทีนี้ ชาร์ลี กับ นิโคล ก็อยู่กันจนมี เฮนรี (อาซีห์ โรเบิร์ตสัน) ลูกชายที่มีพัฒนาการการอ่านช้าคนนึงเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่อย่างว่าว่ะ คนมันหมดใจ ให้โซ่หนาแค่ไหนมันก็ขาดได้ทั้งนั้นอ่ะ ทั้งที่ทั้งคู่ก็พยายามหาคนไกล่เกลี่ยและชาร์ลีพยายามวางแผนเรื่องแยกกันอยู่แล้ว
แต่เป็นฝ่ายนิโคลที่ทนไม่ไหว หอบเฮนรีข้ามรัฐจากนิวยอร์กไปลอส แองเจลลิส ที่ ๆ ที่นางต้องไปถ่ายตอนไพลอตของซีรีส์เรื่องใหม่ แล้วอยู่ดี ๆ นางก็กลับใจจากตกลงแยกกันอยู่กลายเป็นการฟ้องหย่า ซึ่งนางก็ได้ นอรา (ลอรา เดิร์น) ทนายสาวเขี้ยวลากดินมาว่าความให้ แล้วยัยนอราก็เล่นงานชาร์ลีหนักมากจนในที่สุดจากคู่รักก็กำลังจะกลายเป็นคู่ร้าง
เรื่องถีงโรงถึงศาลเพื่อขอสิทธิเลี้ยงดูเฮนรี แต่ยิ่งต่อสู้กัน..สิ่งที่ยากที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือใจตัวเองนี่แหละ จนในที่สุดเราก็เริ่มเห็นทั้งคู่ค่อย ๆ บ่อนทำลายความสัมพันธ์ที่สร้างกันมาอย่างยาวนานด้วย อคติ ความหยิ่งผยอง จนเหตุผลที่เคยทำให้ทั้งคู่รักกันกลายเป็นข้ออ้างมาใช้ห้ำหั่นกันในคดีที่ไม่มีใครชนะแล้วมีความสุขอย่างแท้จริงเลยซักฝ่าย
การดำเนินเรื่อง
เอาจริง ๆ หนังก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคอตรูมดราม่าหรือการต่อสู้ในชั้นศาลเหมือนหนังครอบครัวรักร้างเรื่องอื่นหรอก เพราะมันไปเน้น อารมณ์ ความรู้สึกของแต่ละฝ่ายมากกว่า อย่างฝ่ายนิโคลเอง นางก็พยายามจะไกล่เกลี่ย แต่อยู่ดี ๆ เอเจนต์นางก็แนะนำทางออกแบบเซฟตี้คัตด้วยการโยน นอรา เข้ามาในสมการความสัมพันธ์ที่กำลังหมดลงครั้งนี้
จนจากที่เคยต้องการให้ชาร์ลีย้ายมาอยู่ลอส แองเจลลิส เพื่อให้แบ่งเวลาดูแลเฮนรี กลายเป็นการฟ้องร้องเรียกค่าเลี้ยงดู ที่นางก็ไม่ต้องการแต่จำยอมให้ทนายดำเนินการตัดสัมพันธ์และขูดทรัพย์สินอีกฝ่ายเพื่อหวังเดินออกจากความสัมพันธ์และชีวิตที่เคยถูกครอบงำได้เร็วขึ้น
ส่วนตาชาร์ลี นี่ไม่รู้จะน่าสงสารดีหรือเปล่า เพราะนางเองก็มีชนักติดหลังเคยแอบกินเพื่อนร่วมงานจนกลายเป็นช่องให้ นอรา ใช้โจมตีได้ แต่แทนที่เราจะเกลียดนาง ในหนังเรากลับเห็นนางพยายามเดินทางจากนิวยอร์กมาใช้เวลาอยู่กับลูก แถมพยายามเอาใจลูกให้ดีที่สุด ในขณะที่ก็ต้องบินกลับนิวยอร์กเพื่อหาเงินมาใช้สู้คดี
แถมหลายโมเมนต์เรายังเห็นทั้งคู่ดูมีเยื่อใยให้กันอยู่ และ พยายามประคับประคองชีวิตครอบครัวให้ เฮนรี ไม่รู้สึกขาดพ่อหรือแม่ไป แต่ที่ยากที่สุดก็เรื่องตัดใจให้ไม่รักนี่แหละ โคตรยากเลย
ด้านตัวบท
เราชอบบทสนทนาที่พี่โนอาห์ บอมแบค เขียนมาก เป็นหนังคนเลิกกันที่แต่ละฝ่ายพยายามพูดแต่สิ่งดี ๆ ของกันและกัน เพื่อพยายามให้ “จบสวย” ทื่สุด แต่ในความสัมพันธ์แบบคนรัก มันจบสวยได้ด้วยหรือวะแก? แล้วที่สำคัญตอนจะรักกันแทบไม่มีเงื่อนไข แต่เวลาจะเลิกกัน..เหตุผลแม่งเยอะไปหมด
ในฝั่งนิโคลก็เอาเรื่องชาร์ลีไม่ยอมย้ายมาอยู่ลอส แองเจลลิสเป็นที่ตั้ง ส่วนชาร์ลีก็อ้างว่าเขาสร้างชื่อเสียงให้เธอในนิวยอร์กและพยายามสร้างครอบครัวที่นั่น แม้เหตุผลชาร์ลีจะดูเห็นแก่ตัวและเอางานเป็นที่ตั้ง แต่พอเป็นเรื่องครอบครัวเขากลับเลือก เฮนรี ก่อนนะเว้ย แต่จะโทษ นิโคล ก็ไม่ถูก
นางก็บอกตอนเล่นละครให้ชาร์ลี นางถูกละเลย หมดความสำคัญในขณะที่ลอส แองเจลลิส นางคือดาราเด่น และนางอยากจะกลับมาสร้างชื่อให้ตัวเอง ที่สำคัญหนังออนไลน์คือนางอยาก “กำกับ” ผลงานที่ ชาร์ลี ไม่เคยให้โอกาสสักครั้ง ที่สำคัญนะไอ้เรื่องลอส แองเจลลิส กับ นิวยอร์ก เนี่ยหนังเอามาอธิบายตัวละครได้โคตรเคลียร์เลย
เพราะในฝั่งลอส แองเจลลิส ทั้งทนายและนิโคลเองยกเรื่อง พื้นที่ ซึ่งก็ไม่ใช่พื้นที่อะไรหรอก คือพื้นที่ที่ให้นิโคลได้มีที่ยืนบ้าง ในขณะที่นิวยอร์กด้วยความเป็นเมืองที่ค่อนข้างหนาแน่น ชาร์ลี ก็มีแต่พื้นที่ของชาร์ลีที่ต้องมีเฮนรีและนิโคลอยู่ด้วย เมื่อพื้นที่ของฉัน ไม่ใช่พื้นที่ของเธอ ก็ยากจะอยู่ด้วยกันแหละเนอะ
ปัญหาการหย่าร้าง
หนังเจาะทุกซอกทุกมุมที่คนหย่าร้างกันต้องเจอ ในแง่ของจิตใจก็คือ ความบอบช้ำสะเทือนใจของความจริงของคนที่เคยรัก ซึ่งต้องเอาความจริงที่เคยปกปิดไว้มาพูดถกเถียงกันว่า ทำไมเธอถึงเกลียดฉัน ทำไมเธอถึงไม่เคยเข้าใจฉัน ซึ่ง ณ เวลานั้นมักเลยจุดของการปรับความเข้าใจกันได้แล้ว
การขุดมาพูดก็เหมือนไปขุดระเบิดที่เก็บกดเหยียบไว้ในใจทั้งสองฝ่ายมากกว่า แม้ว่าตอนรักกันจะหยวนๆ ยอมให้กันได้ไม่ว่ากันทุกอย่าง แต่พอหย่าร้างเรื่องราวพวกนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคมมีดกรีดทิ่มแทงใจแบบสุดแสนเจ็บปวด ซึ่งถ้าใครเคยอกหักหรือแยกทางกับแฟนก็คงเข้าใจพอได้ระดับหนึ่งว่าเป็นยังไง
แต่นั่นแค่เลเวลของเจ็บปวดระดับหนึ่งที่ใช้เวลาเยียวยาได้ แต่ถ้าลองจินตนาการว่าเคยใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคนเป็นสิบปีทุกวี่วัน แล้วกลับต้องมาเจอแบบนี้ มันยิ่งต้องเจ็บเจ็บปวดกว่าหลายสิบเท่า เหมือนช่วงเวลาดีๆ ที่เคยมีอยู่กลายเป็นเรื่องโกหกใส่กันมาตลอดชีวิต ซึ่งหนังจะพาคุณดิ่งลงเรื่อยๆ แบบที่ถึงขีดสุดที่ทั้งเห็นใจและหดหู่ใจไปพร้อมๆ กัน
ในแง่มุมต่างๆ
แต่ไม่ใช่ว่าทั้งเรื่องจะมีแต่เรื่องเลวร้ายไปซะหมด และหนังก็ไม่ได้จงใจใส่มาแต่แง่มุมร้ายๆ ให้เราได้เห็น แต่หนังเดินเรื่องในแบบเลิฟสตอรี่ที่เรียลมากๆ ซึ่งในช่วงเวลานี้ในฐานะคนที่เคยรักกัน ก็ยังมีเรื่องราวความรู้สึกเรื่องราวดีๆ กลับมาได้เสมอ แม้จะมีฉากที่แบบทำร้ายจิตใจกันด้วยคำพูดเลวร้ายจนถึงขีดสุด
แต่สุดท้ายก็ยังมีความรู้สึกลึกๆ จากใจที่ทั้งสองคนเคยเป็นคนรักกันหวนวนกลับมา หนังใส่แง่มุมดีๆ ที่ทำทั้งคู่มีส่วนช่วยเหลือกันในแบบสามีภรรยากลับมาในช่วงของการหย่าร้าง ทำให้เราได้เห็นมุมมองของเหตุผลที่ว่า แม้จะเคยรักหรือยังมีเยื่อใยต่อกันแค่ไหน แต่ความจริงก็ไม่อาจหวนกลับมา…
โดยรวม
Marriage Story ไม่ใช่แค่หนังที่มีบททีดีแบบเรียลสตอรี่เก็บรายละเอียดมาหมดเท่านั้น แต่นักแสดงทั้งคู่ก็เล่นได้อย่างยอดเยี่ยมมากจริงๆ สำหรับสกาเล็ต โจแอนสัน อาจจะรู้สึกถึงความประทับใจได้น้อยกว่า เพราะบทของเธอคือคนบอกเลิก ซึ่งไม่ได้ส่งให้เธอเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำน่าเห็นใจเท่ากับบทของอดัม
ที่ไม่คาดคิดเลยว่าตัวเองต้องมาเป็นทุกข์จากปัญหาครอบครัวที่ซ้ำเติมมาเรื่อยๆ ไม่พอ ยังอาจจะสูญเสียทุกอย่างแม้แต่งานที่เขารักที่สุดในชีวิตไปด้วย ซึ่งมีซีนที่อดัมต้องระเบิดอารมณ์จากต่ำสุดจนถึงขีดสุดแทบบ้า รวมถึงฉากที่น้ำเสียงและหัวใจสั่นระริกไปกับความรู้สึกดีๆ ที่ภรรยาเขามีอยู่ในช่วงเวลาของการหย่าร้าง ซึ่งเป็นซีนที่อดัมแสดงได้อย่างสะเทือนใจเป็นอย่างมาก ดูแล้วแอบเชียร์ให้อดัมได้รางวัลออสการ์ไปครองจากบทนี้จริงๆ
สรุป
นี่เป็นหนังรักในช่วงเวลาของการหย่าร้างที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ก็งดงามในหลายความรู้สึกที่แทรกอยู่ภายในเรื่องราวเช่นกัน หนังเก็บมาทุกแง่มุมทุกเรื่องราวที่เป็นจริง และเป็นไปได้ของการหย่าร้าง แล้วนำมาร้อยเรียงกันได้อย่างสวยงาม ผ่านการแสดงที่เป็นธรรมชาติ แบบที่เรารู้สึกสัมผัสได้จากใจ
เชียร์ให้ดูกันไม่ใช่แค่ว่าเป็นหนังดี แต่เป็นหนังที่ใกล้ตัวเรามาก แม้ว่า ณ เวลานี้อาจจะยังไม่มีคนที่รัก แต่ก็ไม่ไกลเกินไปที่จะดูเรื่องรักในแง่มุมที่เจ็บปวด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ในชีวิตของเรา ซึ่งแม้ความรักจะสวยงาม แต่มันก็มีช่วงเวลาของความเจ็บปวดอยู่ด้วยเสมอ
Comments