top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนnongbig jomza

The Society


ดูหนังฟรี

รีวิว The Society - เดอะ​ โซไซตี้

ไอเดียในการจับตัวละครกลุ่มหนึ่งไปติดอยู่ในสถานที่หนึ่ง (ซึ่งปกติมักจะเป็นเกาะร้าง) และพยายามเอาชีวิตรอดคงไม่ใช่ไอเดียที่ใหม่นัก ซึ่ง The Society ออริจินัลซีรีส์จากทาง Netflix เองก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องหยิบไอเดียนี้ขึ้นมาทำเช่นกัน แต่ตัวละครในซีรีส์เรื่องนี้จะไม่ได้ติดเกาะร้างแต่เป็นติดอยู่ในเมืองแทน รีวิว The Society


เรื่องย่อ


เรื่องราวจะเล่าอยู่ในเมือง West Ham เมื่อโรงเรียนแห่งหนึ่งได้พานักเรียนมัธยมปลาย (High School) ออกไปทัศนศึกษานอกเมือง เนื่องจากในเมืองตอนนั้นกำลังมีกลิ่นเหม็นประหลาดฟุ้งอยู่ทั่วเมืองโดยที่หาสาเหตุไม่ได้ แต่ยังไม่ทันที่การทัศนศึกษาจะเริ่มต้นขึ้นรถบัสก็พานักเรียนทุกคนกลับมาที่เดิมและเรื่องราวทั้งหมดก็เริ่มต้นขึ้น เมื่อเด็ก ๆ ทุกคนกลับบ้านไปแล้วพบว่าพ่อแม่ คุณครู และชาวเมืองคนอื่น ๆ ได้หายตัวไปกันหมด และพยายามติดต่ออย่างไรก็ไม่ได้ เด็ก ๆ จึงคิดจะออกไปนอกเมืองเพื่อตามคนมาช่วยแต่ก็พบว่าทางออกของเมืองถูกปิดล้อมไปด้วยป่ารกชัฏ


ชีวิตที่ปราศจากผู้ใหญ่คือชีวิตที่อิสระและเจ๋งสุดๆจริงหรือ? คือสิ่งที่เหล่าวัยรุ่นแห่งนิวแฮมกำลังหาคำตอบเบื้องหลังการหายตัวไปของพ่อแม่ของพวกเขา และในขณะที่กำลังหาทางกลับบ้าน เกมการเมืองในสังคมที่ต้องปกครองกันเองกำลังทำให้พวกเขาต้องเผชิญด้านมืดของมนุษย์ เมื่ออำนาจกลายเป็นเดิมพันชีวิตที่อาจบีบให้พวกเขาทำลายกันเองจนหมดสิ้น แต่เหตุการณ์ประหลาดนี้จะจบลงเช่นไร พวกเขาจะหาทางกลับบ้านได้หรือไม่ และใครที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ประหลาดนี้ต้องร่วมกันหาคำตอบใน The Society


ไอเดียของเรื่องที่ว่าการนำกลุ่มตัวละครมาอยู่ในพื้นที่ปิดและพยายามเอาชีวิตรอดจากทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดอาจฟังดูไม่ใหม่นัก แต่ดูหนังฟรีซีรีส์ The Society ไม่ได้เน้นการเล่าเรื่องไปในทางนั้นสักเท่าไร แต่จะเน้นไปในประเด็นเรื่องระบบการเมืองการปกครองและการเปลี่ยนแปลงของแต่ละตัวละครผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมากกว่า


ซึ่งหลังจากที่เด็ก ๆ ติดอยู่ในเมืองของตัวเองและไม่มีคำตอบใด ๆ ให้กับคำถามที่ว่าพวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร พ่อแม่และคนอื่น ๆ ไปไหน แล้วพวกเขาจะกลับบ้านจริง ๆ ของพวกเขาได้อย่างไร พวกเขาก็เริ่มสร้างกฎขึ้นมาเพื่อจัดระเบียบความเป็นอยู่ของทุกคน แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


แม้เด็ก ๆ ส่วนใหญ่จะยอมทำตามกฎแต่ไม่ใช่ทุกคนจะยอมรับและเห็นด้วย เพราะโดยพื้นฐานแล้ว เด็ก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เท่าเทียมกันตั้งแต่แรก บางคนฐานะดี บางคนฐานะยากจน บางคนไม่มีบ้านให้กลับเพราะบ้านอยู่นอกเมือง สังคมจึงเริ่มมีการเห็นต่างทางความคิดต่อการปกครองของผู้นำมากขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มปะทุเป็นเหตุการณ์ที่มักจะเห็นได้ในเรื่องเล่าแนวเอาชีวิตรอดนี้ เช่น การยึดอำนาจ และการใช้อำนาจของกฎหมู่ กักขัง ฯลฯ


ความน่าสนใจ


แต่ความน่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้อยู่ที่ซีรีส์ไม่ได้เทน้ำหนักไปว่าใครถูกใครผิด ความคิดของใครดีกว่า เพราะไม่ว่าจะปกครองแบบไหนก็ต้องมีคนได้รับผลลัพธ์ที่ไม่น่าพึงพอใจเสมอ และยังชวนคนดูให้คิดและตั้งคำถามว่าใครกันแน่ที่มีสิทธิจะได้เป็นผู้นำ ในเมื่อทุกคนเห็นต่างและมีเหตุผลของตัวเองกันหมด และเหตุผลของแต่ละคนก็ชวนให้เข้าใจได้เหมือนกัน


การดำเนินเรื่อง


ในด้านการพัฒนาเรื่องราวนั้นตัวซีรีส์ทำออกมาได้อย่างชัดเจนผ่านการค่อย ๆ เติบโตและเปลี่ยนแปลงของตัวละครแต่ละตัว ทั้งจากสถานการณ์ภายนอกที่ตัวละครทุกตัวต้องใช้ชีวิตแบบผู้ใหญ่จริง ๆ อย่างกะทันหันซึ่งเหมือนเป็นการบีบบังคับให้ตัวละครต้องทำตัวให้โตกว่าวัยอย่างไม่มีทางเลือก และสถานการณ์ที่เกิดจากภายในจิตใจตัวละครที่ต้องตัดสินใจอะไรที่ดูจะเกินตัวไปมาก ซึ่งผลลัพธ์จากการตัดสินใจทุกอย่างนั้นมันทำให้ตัวละครเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ


อีกเรื่องหนึ่งที่ซีรีส์ได้สอดแทรกเอาไว้ระหว่างทางก็คือเรื่องของปัญหาหลาย ๆ ระดับในสังคมผ่านการที่ให้เด็ก ๆ ได้ใช้ชีวิตในสังคมแบบผู้ใหญ่จริง ๆ โดยไม่มีผู้ปกครองคอยดูแล ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ อย่างการทำอาหารที่เด็กบางคนเองก็ไม่มีความรู้เลยจริง ๆ และปัญหาระดับครอบครัว เช่น การใช้ชีวิตแบบคู่แต่งงาน หรือการทำร้ายร่างกายผู้หญิงและความเป็นใหญ่ของผู้ชาย (สามี) ในครอบครัว ไปจนถึงปัญหาระดับสังคมอย่างเรื่องเพศที่สามที่ไม่ถูกยอมรับ การตั้งท้องในวัยเรียนโดยไม่พร้อม หรือการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมายในการเอาเปรียบคนอื่น ๆ


จุดที่ชอบ


ความดีงามหลักๆที่พอจะทำให้เราดูซีรีส์ได้ตลอดรอดฝั่งคงหนีไม่พ้นคอนฟลิกต์หลักของเรื่องที่ว่าด้วยปริศนาการหายไปของเหล่าผู้ใหญ่ที่เดินไปควบคู่กับเกมการเมืองของเหล่าวัยรุ่นในเมืองนิวแฮม แต่ถามว่าปัญหาของซีรีส์หลักๆคืออะไรก็คงหนีไม่พ้นการพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆมาตลอดเรื่องแบบกลัวคนดูเบื่อหน่าย และผลของมันคือการทำให้ 5 ตอนแรกเรื่องราวแทบไม่เดินไปไหนเลย


หลังพยายามหาทางกลับบ้านเพียงครั้งเดียวในตอนเปิดซีรีส์แล้วมีคนถูกงูกัด ซีรีส์ก็ดูจะสาละวนกับการพยายามจัดระเบียบสังคมของ แคสแซนดรา จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์สุดช็อคตอนครึ่งทางของซีรีส์ที่เริ่มมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นนั่นแหละ เลยทำให้ตั้งแต่ตอนที่ 6 เป็นต้นไปกลายเป็นเกมการเมืองที่เข้มข้นเอามากๆและหยุดดูไม่ได้เลย


แต่กระนั้นมันก็ยังพยายามยัดคอนฟลิกต์ย่อยๆทั้งไอ้หนุ่มโรคจิตอย่าง แฮรี่ ที่พยายามหาทางยึดอำนาจ หรือการสอบสวนคดีฆาตกรรมที่จบลงด้วยความน่ากังขาแต่ซีรีส์ก็กลับทิ้งมันไปดื้อๆ ให้เป็นเพียงคำถามถึงความยุติธรรมของศาลที่พวกเขาพยายามจัดตั้งขึ้น ซึ่งใครสนใจชมก็คงต้องทำใจนิดนึงว่าซีรีส์จะเต็มไปด้วยช่องโหว่เต็มไปหมด แต่ในเรื่องความสนุกรับรองไม่ผิดหวังเลย


ด้านนักแสดง


อีกจุดที่น่าพูดถึงสำหรับ The Society คือเหล่าตัวละครที่เหมือนยกประเภทของเผ่าพันธ์ุวัยรุ่นชาวไฮสคูลมาจัดตั้งเป็นกลุ่มก้อนทางสังคมได้อย่างน่าสนใจ เช่นเหล่านักฟุตบอลของโรงเรียนก็กลายเป็นเหมือนทหาร มีเด็กสาวเคร่งศาสนามาทำหน้าที่เป็นเหมือนนักเทศน์ มีสาวสังคมที่พยายามจัดปาร์ตี้รวมคนขึ้นมา หรือกระทั่งนักกิจกรรมที่พยายามตั้งคำถามถึงการปกครองตนเองของผู้นำผ่านละครเสียดสีการเมือง


ซึ่งไอเดียสิ่งละอันพันละน้อยเหล่านี้นี่แหละที่ทำให้ตัวละครในซีรีส์ดูน่าสนใจ รวมถึงการพยายามสร้างกิจกรรมการเมืองที่ล้อกับโลกผู้ใหญ่ทั้งการเลือกตั้ง (รวมไปถึงการทำรัฐประหารที่แอบสะอึกไม่น้อยประหนึ่งมาเอาเรื่องราวการเมืองไทยไปเสียดสีเลยทีเดียว 555) แถมแนวคิดของเด็กๆในเรื่องบางคนก็สะท้อนถึงผู้นำที่มีความคิดเผด็จการเมื่ออำนาจอยู่ในมือ ซึ่งก็ทำให้เห็นถึงความละเอียดละออในการสร้างตัวละครของทีมเขียนบทไม่น้อยเลยทีเดียว


รีวิว The Society

ในด้านนักแสดงแต่ละคนอาจไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก แต่ก็มีบางคนที่อาจจะได้เคยเห็นมาบ้าง เช่น แอลลี่ เพรซแมน รับบทโดย Kathryn Newton จากภาพยนตร์หนังออนไลน์เรื่อง Three Billboards Outside Ebbing, Missouri ภาพยนตร์เรื่อง Pokemon Detective Pikachu ทีวีซีรีส์ เรื่อง Big Little Lies และแอลล์ ทอมกินส์ จากภาพยนตร์เรื่อง The Visit


พูดถึงเหล่าบรรดานักแสดงในเรื่องก็เต็มไปด้วยวัยรุ่นหน้าตาดีๆ ตั้งแต่ แคตเธอรีน นิวตัน ที่เพิ่งมีผลงาน Pokemon Detective Pikachu ไปหมาดๆก็มารับบท อัลลี สาวน้อยที่จำใจต้องมารับหน้าที่ผู้นำและต้องเผชิญความโหดร้ายของเกมการเมือง ฌาคส์ โคลิมอง หนุ่มลูกครึ่งเฮติอเมริกันสุดหล่อที่รับบท วิล หนุ่มหล่อที่ อัลลี หลงรักแต่ต้องเจอกับสถานการณ์เฟรนด์โซน  คริสทีน โฟรเซธ สาวสวยหน้าเก๋จากหนัง Netflix อย่าง Sierra Burgess is a loser ก็มารับบทเคลลี สาวสุดฮอตที่วิลแอบชอบ


แต่สาวสวยที่ผมอยากแนะนำคงหนีไม่พ้น นาตาชา ลุย โบดิซซา สาวสวยลูกครึ่งจีนอิตาเลียน ที่เราเคยเห็นผ่านๆตาจาก The Greatest Showman และเคยเล่นหนังกำลังภายในภาคต่อที่ Netflix สร้างเองอย่าง Netflix Original Crouching Tiger, Hidden Dragon : Sword of Destiny ด้วยใบหน้าสวยคมแบบหมวยอินเตอร์ที่เราเชื่อว่าจะถูกใจหนุ่มๆแน่นอน


โดยรวม


ในซีซั่นแรกนี้จะเน้นหนักไปในเรื่องปูให้ผู้ชมรู้จักตัวละครแต่ละตัว การปะทะทางความคิดในประเด็นเรื่องการปกครอง และการใช้ชีวิตในแบบของผู้ใหญ่จริง ๆ เสียมากกว่า ส่วนในด้านปริศนาเรื่องที่ว่าที่ที่พวกเด็ก ๆ อยู่นั้นคือที่ไหนและมาได้อย่างไร ทุกคนหายไปไหน และวิธีพวกเขาจะกลับไปเมือง ๆ เดิมได้อย่างไรนั้นยังไม่มีการเปิดเผยอะไรออกมามากนัก แต่ตัวซีรีส์ก็ทำออกมาได้ค่อนข้างน่าสนุกและชวนให้ติดตามทีเดียว และข่าวดีสำหรับคนที่ชอบก็คือตัวซีซั่น 2 จะถูกปล่อยให้มาให้ชมกันต่อในปี 2020 นี้เอง


สรุป


ในด้านไอเดียแม้จะดูไม่ใหม่นักกับการเอาชีวิตรอดของกลุ่มคนในเมืองร้าง แต่ประเด็นต่าง ๆ ในเรื่องก็ทำออกมาได้สนุกทีเดียว ทั้งประเด็นเรื่องระบบการปกครอง และการจำลองชีวิตในสังคมแบบผู้ใหญ่ของกลุ่มวัยรุ่น

ดู 131 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page